
ศีรษะล้านเป็นยังไง ? รู้ทันสาเหตุและวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี
หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาผมร่วงอย่างต่อเนื่อง พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีศีรษะล้าน อาจต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อหาทางป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่จะทำให้คุณประสบปัญหาศีรษะล้าน แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคนิคหรือวิธีการมากมายเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ก็คงไม่อยากมีใครต้องเผชิญกับปัญหาที่มักทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ จนอาจทำให้เสียบุคลิกภาพได้
แบบไหนถึงเรียกว่า “ศีรษะล้าน” ?
ศีรษะล้าน คือปัญหาที่เกิดจากผมร่วงมากเกินไป และไม่มีผมเส้นใหม่งอกขึ้นมาทดแทนเส้นผมที่หลุดร่วง ทำให้เส้นผมบริเวณนั้นบางลงจนเห็นได้ชัด แม้ว่าจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้ เมื่อมีอาการศีรษะล้าน หรือผมร่วงผมบางมากผิดปกติ จึงควรรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะในบางครั้งอาการเหล่านี้อาจสามารถรักษาได้ด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การรับประทานอาหาร การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม

จะรู้ได้อย่างไรว่าศีรษะล้าน ?
โดยทั่วไป เส้นผมของคนเราจะร่วงประมาณ 100 เส้นต่อวัน แต่ถ้าวันไหนที่มีการสระผม เส้นผมอาจร่วงได้ถึง 150-200 เส้นต่อวัน ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอาการศีรษะล้าน ผมร่วง ผมบาง จะมีเส้นผมร่วงมากกว่า 200 เส้นต่อวัน แม้ว่าจะไม่ได้สระผมก็ตาม ซึ่งเราสามารถสังเกตจำนวนเส้นผมที่ร่วงได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น หลังสระผมหรือหวีผม มีเส้นผมหลุดออกมาเป็นกระจุกมากผิดปกติ หรือเห็นเส้นผมกระจายเต็มหมอนหรือพื้นบ้านบ่อยครั้ง
นอกจากการสังเกตจำนวนเส้นผมที่ร่วงแล้ว ผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านอาจสำรวจอาการของตนเองได้ด้วยการตรวจดูลักษณะของเส้นผมบนศีรษะว่า มีเส้นผมบริเวณไหนที่บางกว่าเส้นผมบริเวณอื่นหรือไม่ รวมถึงมีอาการคันหนังศีรษะก่อนเส้นผมจะร่วงไหม หากมีอาการเหล่านี้ก็อาจมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาศีรษะล้านในอนาคตได้
สาเหตุของศีรษะล้านคืออะไร ?
ศีรษะล้าน มักมีสาเหตุมาจากโรคผมร่วงจากพันธุกรรม (Androgenetic alopecia: AGA) ทำให้เซลล์รากผมบริเวณขมับและกลางศีรษะสามารถรับฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งถูกเปลี่ยนมาจากฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน โดยเอนไซม์ 5-alpha reductase (5AR) ได้มากกว่าบริเวณท้ายทอยถึง 1.5 เท่า เมื่อ DHT จับกับตัวรับในเซลล์รากผมมากเกินไป จะทำให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะเล็กลง ส่งผลให้เส้นผมบาง มีช่วงอายุที่สั้น หลุดร่วงเร็ว และทำให้ศีรษะล้านในที่สุด
นอกจากศีรษะล้านจากพันธุกรรมแล้ว ปัญหานี้ยังเกิดได้อีกหลายสาเหตุ เช่น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารขาดสารอาหารสำคัญ รวมถึงการใช้สารเคมีหรือความร้อนกับเส้นผมบ่อย ๆ ล้วนเป็นตัวเร่งให้ผมร่วงเร็วขึ้น
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์รากผมเสื่อมประสิทธิภาพตามธรรมชาติ ทำให้เส้นผมงอกใหม่ได้ช้าลง ผมบางและร่วงมากขึ้น

รูปแบบการเกิดผมร่วง
ปัญหาศีรษะล้านมักไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่จะค่อย ๆ พัฒนาไปตามลำดับ ซึ่งในทางการแพทย์ได้มีการใช้สเกล (Scale) เพื่อจำแนกความรุนแรงของผมร่วงในผู้ชายและผู้หญิงต่างกันออกไป ได้แก่ Norwood Scale และ Ludwig Scale โดยเป็นมาตรฐานสากลที่แพทย์ใช้เพื่อประเมินอาการและวางแผนการรักษา
Norwood Scale (ใช้สำหรับผู้ชาย)
Norwood Scale คือ เครื่องมือที่ใช้วัดระดับความรุนแรงของปัญหาหัวล้านกรรมพันธุ์ในผู้ชาย โดยแบ่งออกเป็น 7 ระดับ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของไรผมและการบางของเส้นผม ดังนี้
- ระยะที่ 1 : เส้นผมยังดูปกติ แนวไรผมยังไม่เปลี่ยนแปลง
- ระยะที่ 2 : เริ่มมีไรผมถอยร่นเล็กน้อยบริเวณขมับ (Receding Hairline)
- ระยะที่ 3 : ไรผมถอยร่นมากขึ้น และเริ่มบางตรงกลางศีรษะ (Crown)
- ระยะที่ 4 : พื้นที่ไรผมด้านหน้าและกลางศีรษะบางลงอย่างชัดเจน แต่ยังไม่เชื่อมต่อกัน
- ระยะที่ 5 : ผมบางทั้งด้านหน้าและกลางศีรษะมากขึ้น และเริ่มใกล้เชื่อมต่อกัน
- ระยะที่ 6 : พื้นที่ศีรษะล้านด้านหน้าและกลางเชื่อมต่อกันเป็นวงกว้าง
- ระยะที่ 7 : ศีรษะล้านรุนแรง เหลือผมเฉพาะด้านข้างและท้ายทอยเท่านั้น
โดยทั่วไป ผู้ชายที่มีปัญหาหัวล้านกรรมพันธุ์ มักเข้าสู่ Norwood Scale ระดับ 3 ขึ้นไป
Ludwig Scale (ใช้สำหรับผู้หญิง)
Ludwig Scale ใช้จำแนกความรุนแรงของปัญหาหัวล้านกรรมพันธุ์ในผู้หญิง ซึ่งลักษณะจะต่างจากผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมักยังคงมีแนวไรผมด้านหน้า แต่ผมจะบางลงบริเวณกลางศีรษะแทน
- ระยะที่ 1 : ผมกลางศีรษะเริ่มบางลงเล็กน้อย หนังศีรษะยังไม่เห็นชัด
- ระยะที่ 2 : ผมบางชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะแนวกลางศีรษะ เห็นหนังศีรษะเป็นแนวเส้นตรง
- ระยะที่ 3 : ผมบางมากทั่วกลางศีรษะ หนังศีรษะเห็นเด่นชัด และอาจดูคล้ายศีรษะล้าน
ทั้งนี้ ผู้หญิงที่มีหัวล้านกรรมพันธุ์จะไม่ค่อยเจอปัญหาไรผมถอยร่นเหมือนผู้ชาย แต่จะสังเกตได้จากการแสกผมที่กว้างขึ้นและปริมาณผมที่เบาบางลงเรื่อย ๆ
วิธีการรักษาศีรษะล้าน
การรักษาศีรษะล้านสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังและเส้นผม เพื่อตรวจหาสาเหตุ แนวทางการแก้ปัญหาผมร่วง และวิธีรักษาผมบางที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
การรักษาโดยปรับพฤติกรรมและผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
หากผมร่วงเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การแพ้สารเคมี การมัดผมแน่นเกินไป หรือการเกาศีรษะรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
การใช้ยา
สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาศีรษะล้านจากพันธุกรรม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาเพื่อลดผลกระทบของฮอร์โมน DHT ต่อรากผม เช่น
- Finasteride ยายับยั้งเอนไซม์ที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็น DHT ลดการฝ่อลีบของรูขุมขน
- Minoxidil ยากระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณหนังศีรษะ ช่วยให้เส้นผมงอกใหม่
การทำทรีตเมนต์ฟื้นฟูเส้นผม
นอกจากการใช้ยาแล้ว ปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยชะลอผมร่วงและกระตุ้นการงอกใหม่ เช่น
- การทำเลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ (Low-Level Laser Therapy: LLLT) ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ ทำให้รากผมได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
- การฉีดเซรั่มบำรุงหนังศีรษะโดยตรง เพื่อกระตุ้นรากผมและฟื้นฟูเส้นผมให้แข็งแรง
การรักษาโดยเทคนิคปลูกผมถาวร
หากแนวทางการรักษาข้างต้นยังไม่ได้ผล หรือมีการสูญเสียเส้นผมมากจนกระทบความมั่นใจ แพทย์อาจแนะนำให้ทำ การปลูกผมถาวร ซึ่งเป็นวิธีแก้หัวล้านกรรมพันธุ์ที่เห็นผลชัดเจนกว่าและให้ผลระยะยาว โดยเทคนิคที่นิยม ได้แก่
1. เทคนิคปลูกผม FUE (Follicular Unit Excision)
เป็นการเจาะย้ายกราฟผมทีละกอจากบริเวณท้ายทอยไปปลูกยังจุดที่ผมบางหรือศีรษะล้าน ข้อดีคือไม่มีรอยแผลเป็นยาว ฟื้นตัวเร็ว และดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
2. เทคนิคปลูกผม FUT (Follicular Unit Transplantation)
เป็นการตัดชิ้นหนังศีรษะจากด้านหลังออกมา แล้วแยกเป็นกราฟเล็ก ๆ เพื่อนำไปปลูกผมใหม่ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจำนวนกราฟมาก ๆ ในครั้งเดียว แต่จะมีรอยแผลเป็นเส้นยาวด้านหลังศีรษะ
อย่างไรก็ดี หากถามว่าศีรษะล้านจากพันธุกรรมรักษาหายหรือไม่ คำตอบคือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเกิดจากยีนและฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของรากผม แต่การปลูกผมถาวรเป็นวิธีที่สามารถชะลอการลุกลามและฟื้นฟูให้เส้นผมดูหนาขึ้นได้ ช่วยคืนความมั่นใจให้คุณกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล

การดูแลตัวเองเพื่อลดปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน
แม้การรักษาจะช่วยได้มาก แต่การดูแลตนเองในชีวิตประจำวันก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น
- การมีโภชนาการที่ดี รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก สังกะสี วิตามินบี และไบโอติน เพื่อบำรุงรากผม
- ดูแลหนังศีรษะ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง และนวดศีรษะทุกครั้งเมื่อสระผม เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- ลดความเครียด เพราะความเครียดเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้ผมร่วง แนะนำให้หากิจกรรมผ่อนคลายทำ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการทำงานอดิเรกที่ชอบ
สรุปเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับปัญหาศีรษะล้าน
ศีรษะล้าน คืออาการผมร่วงและผมบางผิดปกติที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การติดเชื้อบริเวณหนังศีรษะ หรือการแพ้สารเคมี ซึ่งแต่ละสาเหตุจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การทำเลเซอร์กระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ หรือการฉีดเซรั่มบำรุงหนังศีรษะโดยตรง ซึ่งสามารถทำร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ได้ ดังนั้น เมื่อเกิดอาการขึ้นแล้ว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้ปัญหาศีรษะล้านลุกลามจนไม่สามารถรักษาได้
เลือกฟื้นฟูเส้นผมของคุณกับ Grow & Glow Clinic คลินิกรักษาผมบางในกรุงเทพฯ ทุกเคสได้รับการดูแลโดยแพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ หรือหมอเบนซ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการปลูกผม (Hair Restoration Surgery) วุฒิบัตร ISHRS และ American Board (ABHRS) ซึ่งเป็นสถาบันระดับนานาชาติ มั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่คู่ควรกับคุณมากที่สุด พูดคุยกับหมอเบนซ์และปรึกษาฟรีได้เลยวันนี้ โทร. 084-501-9989 หรือ LINE: @clinicgrowandglow
