
เช็กลิสต์ 7 ประเภทยาที่ทำให้ผมร่วง รู้ไว้ก่อนผมบางจนรักษายาก
ปัญหาผมร่วง เป็นความกังวลที่พบได้บ่อยในคนยุคใหม่ เนื่องจากวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ความเครียด ความกดดัน ไปจนถึงการไม่มีเวลาพอที่จะดูแลเส้นผมของตนเองอย่างถูกวิธี แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่หลายคนน่าจะไม่ได้คิดถึงเลย คือ ยารักษาโรคที่คุณรับประทานอยู่เป็นประจำ อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงได้

ภาวะผมร่วงจากการใช้ยา เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เส้นผมของคนเราจะมีวงจรชีวิตอยู่ 3 ระยะ ได้แก่
- Anagen Phase (ระยะเจริญเติบโต)
- Catagen Phase (ระยะหยุดเจริญเติบโต)
- Telogen Phase (ระยะพักตัวก่อนหลุดร่วง)
โดยปกติแล้ว เส้นผมส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเจริญเติบโต และค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติ แต่เมื่อรับประทานยาบางประเภท ยาจะส่งผลต่อรากผม ทำให้เส้นผมที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตเข้าสู่ระยะพักตัวก่อนเวลาอันควร หรือเร่งให้เส้นผมหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า Drug-Induced Hair Loss
อาการผมร่วงจากการใช้ยาจะมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันไปตามกลไกของยาแต่ละชนิด โดยบางรายอาจเริ่มมีอาการตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์หลังเริ่มยา หรือบางรายอาจใช้เวลานาน 2-3 เดือนจึงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
เช็กเลย ! 7 ประเภทยาที่กินแล้วผมร่วง มีตัวไหนบ้างที่เข้าข่าย
การรู้จักชนิดของยาที่ทำให้ผมร่วงเป็นอีกหนึ่งการป้องกันปัญหาที่ดี ดังนั้น หากพบว่าตนเองจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ควรหมั่นสังเกตอาการและปรึกษาแพทย์อยู่เสมอ
1. ยารักษามะเร็งและยาเคมีบำบัด
ถือเป็นกลุ่มยาที่ทำให้ผมร่วงได้มากที่สุด เนื่องจากยาจะทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว รวมถึงเซลล์รากผม ส่งผลให้ผมหลุดร่วงอย่างรวดเร็วและจำนวนมาก โดยผมมักร่วงทั่วทั้งศีรษะ ไม่เฉพาะจุด
2. ยาในกลุ่มวิตามินเอและเรตินอล
การรับประทานวิตามินเอในปริมาณสูงเกินจำเป็น หรือยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น ยารักษาสิวเรื้อรัง อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เกิดอาการผมบางและหลุดร่วงได้
3. ยาคุมกำเนิด
ฮอร์โมนในยาคุมบางชนิดอาจไปยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ซึ่งควบคุมวงจรเส้นผม เมื่อหยุดยา ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะ Telogen Effluvium หรือผมร่วงในระยะพักตัว
4. ยาลดความดันโลหิต
ยาลดความดันโลหิตบางตัว เช่น Beta-blockers หรือ ACE inhibitors เป็นหนึ่งในยาที่กินแล้วผมร่วง เนื่องจากส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและการทำงานของรูขุมขน
5. ยาลดความเครียดและยารักษาโรคซึมเศร้า
แม้ว่ายากลุ่มนี้จะช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง แต่ก็อาจกระทบต่อวงจรเส้นผมได้เช่นกัน โดยเฉพาะยาในกลุ่ม SSRI (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้เส้นผมหลุดร่วงในบางราย
6. ยาไอบูโพรเฟนและยาแก้ปวด
แม้จะเป็นยาที่ใช้งานทั่วไป แต่การใช้ในปริมาณมากหรือใช้ต่อเนื่องระยะยาว อาจส่งผลต่อการทำงานของรูขุมขน ทำให้ผมร่วงบางส่วน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงอยู่เดิม
7. ยาถ่ายพยาธิ
ที่จริงแล้วพบไม่บ่อยนัก แต่ในบางกรณียาถ่ายพยาธิอาจไปกระตุ้นให้ผมร่วงได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาที่ออกฤทธิ์แรง หรือในผู้ที่มีอาการแพ้ยาบางประเภท
สังเกตอย่างไร ว่ายาที่รับประทานเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงจริง ?
การสังเกตอาการเบื้องต้นว่ายาที่ใช้อยู่คือยาที่ทำให้ผมร่วง สามารถทำได้ดังนี้
- เปรียบเทียบปริมาณผมที่หลุดร่วงระหว่างก่อนและหลังเริ่มรับประทานยา หากพบว่าผมร่วงมากกว่าปกติอย่างชัดเจน แสดงว่ายาที่คุณใช้อยู่คือยาที่กินแล้วผมร่วง
- ตรวจสอบช่วงเวลาเริ่มต้นของอาการ ว่าตรงกับช่วงที่เริ่มใช้ยาหรือไม่
- หากหยุดยาแล้วพบว่าเส้นผมค่อย ๆ งอกใหม่ในช่วง 1-3 เดือนหลังหยุดยา ถือเป็นสัญญาณว่าผมร่วงเกิดจากผลข้างเคียงของยา
- ในกรณีที่หยุดยาแล้ว แต่ผมยังไม่กลับมาขึ้นใหม่ หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

วิธีบรรเทาปัญหาผมร่วงจากการใช้ยา
- สระและหวีผมให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงการใช้แรงมากเกินไปขณะสระหรือหวีผม
- หลีกเลี่ยงการทำเคมีและการใช้ความร้อนกับเส้นผม เช่น การย้อม การดัด การรีดผม
- นวดหนังศีรษะอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ซึ่งจะช่วยให้รากผมได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
- เลือกใช้แชมพูและครีมบำรุงผมที่เหมาะกับสภาพหนังศีรษะของตนเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน ซิงค์ และไบโอติน
- ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่นในการรักษาโรคที่เป็นอยู่ หรือปรับเปลี่ยนขนาดยาที่ใช้
แม้อาการผมร่วงจากการใช้ยาจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราวในบางราย แต่สำหรับบางคน หากปล่อยไว้นานเกินไปหรือเส้นผมไม่สามารถงอกกลับได้ตามปกติ ก็อาจส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพในระยะยาวได้ ดังนั้น ผู้ที่สังเกตว่าตนเองมีผมร่วงมากผิดปกติหลังรับประทานยา ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและแนวทางการรักษาที่เหมาะสมอย่างตรงจุด
Grow & Glow Clinic คลินิกให้บริการปลูกผมอย่างครอบคลุม โดยแพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ (หมอเบนซ์) แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการปลูกผมที่ได้รับการรับรองจากสถาบันปลูกผมระดับโลก พร้อมประสบการณ์ในระดับนานาชาติ ซึ่งรวมถึงบริการปลูกไรผมผู้หญิงราคาเข้าถึงได้ ด้วยเทคนิคแผลเป็นขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็น และการออกแบบแนวผมให้เข้ากับโครงหน้าและสภาพเส้นผมเฉพาะบุคคล มั่นใจได้ว่าทุกเคสได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์ด้านการปลูกผมโดยตรง กรอกฟอร์มวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาออนไลน์กับคุณหมอ ฟรี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @clinicgrowandglow หรือโทร. 084-501-9989
ข้อมูลอ้างอิง
- 1. Hair Loss (Alopecia) and Cancer Treatment. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.cancer.gov/about-cancer/treatment/side-effects/hair-loss.
- 2. Hair loss. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hair-loss/symptoms-causes/syc-20372926.
- 3. Ibuprofen Side Effects. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.drugs.com/sfx/ibuprofen-side-effects.html.