
ขั้นตอนปลูกผม FUE กับ FUT ต่างกันอย่างไร ? รู้ก่อนตัดสินใจ

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน จนเริ่มกระทบความมั่นใจ คงกำลังมองหาวิธีแก้ไขที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและถาวร หนึ่งในทางออกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ “การปลูกผมถาวร” ซึ่งก็มีอยู่หลายเทคนิค แต่ที่ถูกพูดถึงและใช้กันแพร่หลายที่สุดคือ เทคนิคปลูกผม FUE กับ FUT โดยทั้งสองวิธีนี้มีขั้นตอนแตกต่างกัน รวมถึงข้อดี-ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
Grow & Glow Clinic จะพาไปเจาะลึกขั้นตอนการปลูกผมแบบ FUE กับ FUT อย่างละเอียด ตั้งแต่การเตรียมตัว การย้ายรากผม ไปจนถึงการปลูกผมจริง พร้อมอธิบายข้อแตกต่าง ผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อช่วยให้คุณเลือกวิธีการปลูกผมที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
ขั้นตอนการปลูกผมแบบ FUE
การปลูกผม FUE (Follicular Unit Excision) คือ เทคนิคการย้ายรากผมแบบเจาะแยกเป็นกอเล็ก ๆ โดยใช้เครื่องมือขนาดจิ๋วเจาะนำรากผมจากบริเวณด้านหลังศีรษะ แล้วนำไปปลูกในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ ข้อดีคือแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และสามารถไว้ผมสั้นได้โดยไม่เห็นรอยแผลเป็นชัดเจน ส่วนขั้นตอนกระบวนการมีดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมและเก็บรากผม
ขั้นตอนแรกของการปลูกผมแบบ FUE คือ การเข้ารับการปรึกษาและพูดคุยกับแพทย์ชำนาญการด้านเส้นผม เพื่อทำการออกแบบ วาดแนวผมที่ต้องการปลูกใหม่ จากการวัดพื้นที่และคำนวณจำนวนกราฟที่ใช้ ก่อนเริ่มขั้นตอนการปลูกผม โดยแพทย์จะทำการคัดเลือกเซลล์รากผมที่มีความแข็งแรงสูง เช่น บริเวณท้ายทอย หลังจากนั้นจะทำการโกนผมบริเวณนั้นออก และฉีดยาชาให้ทั่วบริเวณดังกล่าว
ขั้นตอนที่ 2 : ย้ายรากผม
ขั้นตอนการปลูกผมแบบ FUE จะทำหลังจากเมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะเริ่มใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อเจาะนำเอาเซลล์รากผมบริเวณท้ายทอย โดยการใช้ตัวเจาะพิเศษที่มีขนาดเล็ก 0.8 มม. เจาะผ่านผิวหนังตามแนวขนานกับรากผม จากนั้นก็ดึงเอาเซลล์รากผมออกมาเก็บรักษาด้วยน้ำเลี้ยงเซลล์ เพื่อรักษาคุณภาพเซลล์รากผมให้แข็งแรงที่สุด
ขั้นตอนที่ 3 : ลงมือปลูกผม
ขั้นตอนสุดท้ายของการปลูกผมแบบ FUE แพทย์จะทำการฉีดยาชาพร้อมทั้งยาห้ามเลือดลงไปในบริเวณเฉพาะที่ตลอดแนวหนังศีรษะที่วาดไว้ และรอยาชาออกฤทธิ์ จากนั้นก็จะทำการเจาะรู และนำเซลล์รากผมใส่ลงในรูที่เจาะเตรียมไว้จนครบบริเวณที่จะปลูก
สรุปข้อดี-ข้อจำกัดของการปลูกผมเทคนิค FUE
ข้อดีของการปลูกผม FUE
- แผลเป็นขนาดเล็กมาก : เนื่องจากใช้หัวเจาะขนาดเล็กระดับมิลลิเมตร ทำให้แผลมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายตัวอยู่บริเวณท้ายทอย เมื่อแผลหายและผมยาวขึ้นจะสังเกตเห็นได้ยากมาก
- เหมาะสำหรับคนไว้ผมสั้น : หมดกังวลเรื่องรอยแผลเป็นแนวยาว สามารถตัดผมสั้น หรือทำผมทรงที่ต้องไถด้านหลังและด้านข้างได้อย่างมั่นใจ
- เจ็บน้อย พักฟื้นไว : เป็นการผ่าตัดเล็ก (Minimally Invasive) ทำให้มีอาการเจ็บน้อย และแผลสามารถสมานตัวเองได้เร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องตัดไหม
ข้อจำกัดของการปลูกผม FUE
- ความหนาแน่นผมด้านหลังลดลง : การเจาะย้ายเซลล์รากผมออกมาทีละกอ อาจส่งผลให้ความหนาแน่นของเส้นผมบริเวณที่นำออกมา (Donor Area) ลดลงได้
- อาจไม่เหมาะกับเคสที่ต้องการกราฟจำนวนมาก : หากต้องการปลูกผมในบริเวณที่กว้างมาก ๆ หรือต้องทำซ้ำหลายครั้ง อาจมีความเสี่ยงที่กราฟผมบริเวณท้ายทอยจะไม่เพียงพอ และอาจทำให้ผมบริเวณนั้นดูบางลงได้
ขั้นตอนการปลูกผมแบบ FUT
การปลูกผมแบบ FUT (Follicular Unit Transplantation) คือ เทคนิคการย้ายรากผมที่ใช้วิธีผ่าตัดหนังศีรษะเป็นแนวยาว เพื่อนำชิ้นเนื้อที่มีรากผมแข็งแรงออกมาจากบริเวณท้ายทอย แล้วนำไปแยกกราฟผมทีละกอด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก่อนจะปลูกกลับไปยังบริเวณที่ผมบาง ในส่วนขั้นตอนการปลูกผมแบบ FUT มีดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 : วางแผนแนวผมและผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อ
ขั้นตอนแรกของการปลูกผม FUT เริ่มจากการเข้าพบแพทย์ชำนาญการด้านเส้นผมเพื่อประเมินสภาพศีรษะ ออกแบบแนวผมใหม่ และคำนวณจำนวนกราฟที่เหมาะสมกับรูปหน้าและความต้องการของแต่ละบุคคล จากนั้นแพทย์จะทำการ ฉีดยาชาเฉพาะจุดบริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นแหล่งของรากผมที่แข็งแรงและดกหนา
เมื่อยาชาออกฤทธิ์ จะเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัด โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Open Technique ซึ่งเป็นการผ่าหนังศีรษะเป็นแนวยาว เพื่อดึงเอาชิ้นเนื้อที่มีรากผมออกมาอย่างแม่นยำ โดยไม่ทำลายเซลล์รากผมที่อยู่ภายใน
ขั้นตอนที่ 2 : แยกกราฟและเตรียมรากผมสำหรับปลูก
หลังจากได้จำนวนกราฟเส้นผมที่ต้องการแล้ว แพทย์จะนำเซลล์รากผมที่ได้มานั้นไปเก็บรักษาด้วยน้ำเลี้ยงเซลล์ ในระหว่างนั้นก็จะทำการคัดแยกเซลล์รากผมที่แข็งแรงด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อรักษาคุณภาพเซลล์รากผมที่แข็งแรงที่สุดออกมาในแต่ละกอ
ขั้นตอนที่ 3 : ลงมือปลูกผม
หลังจากแยกรากผมแต่ละกอเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำการเจาะรูเล็ก ๆ บริเวณที่ต้องการปลูกผมใหม่ตามแนวที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น โดยใช้เครื่องมือเฉพาะเพื่อให้แนวผมที่ปลูกดูเป็นธรรมชาติ และมีทิศทางเหมือนเส้นผมเดิม จากนั้นจะทำการฝังกราฟผมลงในรูที่เจาะไว้ทีละกออย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รากผมยึดติดกับเนื้อเยื่อได้ดี ลดความเสี่ยงของกราฟหลุดหรือไม่ขึ้น
เมื่อปลูกผมครบตามจำนวนที่กำหนดแล้ว แพทย์จะเย็บปิดแผลบริเวณท้ายทอยด้วยเทคนิค Trichophytic Closure ซึ่งเป็นวิธีการเย็บแผลแบบเฉพาะ ช่วยให้เส้นผมสามารถงอกแทรกผ่านแนวแผลได้ในอนาคต ส่งผลให้แผลเป็นดูจางลงและปกปิดได้แนบเนียนยิ่งขึ้น
สรุปข้อดี-ข้อจำกัดของการปลูกผมเทคนิค FUT
ข้อดีของการปลูกผม FUT
- ได้กราฟผมคุณภาพสูงในปริมาณมาก : สามารถเก็บเกี่ยวกอผมหรือกราฟผม (Graft) ได้จำนวนมากในการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว และกราฟผมที่ได้มีความสมบูรณ์สูงมาก เนื่องจากถูกคัดแยกอย่างประณีตด้วยกล้องจุลทรรศน์
- ไม่ทำให้ผมโดยรวมดูบางลง : เนื่องจากเป็นการนำหนังศีรษะออกไปเพียงส่วนเดียว ทำให้เส้นผมบริเวณท้ายทอยที่อยู่นอกรอยแผลยังคงความหนาแน่นไว้เท่าเดิม
- ไม่จำเป็นต้องโกนผม : แพทย์จะผ่าตัดในบริเวณที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องโกนผมทั้งหมดบริเวณท้ายทอย ทำให้สามารถใช้ผมเดิมที่มีความยาวอยู่แล้วช่วยปกปิดแผลได้ทันที
- ประหยัดเวลากว่าในการผ่าตัด : หากเทียบในจำนวนกราฟที่เท่ากัน ขั้นตอนการเก็บรากผมแบบ FUT จะใช้เวลาสั้นกว่าแบบ FUE
ข้อจำกัดของการปลูกผม FUT
- เกิดรอยแผลเป็นแนวยาว (Linear Scar) : จะมีรอยแผลเป็นลักษณะเป็นเส้นตรงบริเวณท้ายทอย ซึ่งทำให้ไม่สามารถตัดผมสั้นมาก ๆ หรือโกนผมได้ เพราะจะเห็นรอยแผลชัดเจน (โดยทั่วไปแนะนำให้ไว้ผมยาวอย่างน้อย 1-1.5 เซนติเมตรเพื่อปกปิดรอยแผล)
- ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า : เป็นการผ่าตัดที่ต้องมีการเย็บแผล ทำให้มีอาการตึงและเจ็บแผลได้มากกว่าในช่วงแรก และจำเป็นต้องกลับมาพบแพทย์เพื่อตัดไหม รวมถึงต้องงดกิจกรรมที่ต้องออกแรงหนัก ๆ เป็นระยะเวลานานกว่าเทคนิค FUE
เลือกเทคนิคปลูกผมยังไงให้เหมาะกับตัวเอง ?
เมื่อได้ทราบแล้วว่าการปลูกผมมีกี่แบบ รวมถึงรายละเอียดขั้นตอนว่าการปลูกผม FUE กับ FUT ต่างกันยังไงแล้ว หลายคนอาจยังมีคำถามว่า “ปลูกผมแบบไหนดีที่สุด ?” ส่วนคำตอบ แน่นอนว่าไม่มีตายตัว เพราะเทคนิคที่ดีที่สุดคือเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลที่สุด โดยแต่ละคนก็มีลักษณะของเส้นผม ปัญหา และความต้องการที่แตกต่างกันไป จึงมีปัจจัยที่นำมาพิจารณาว่าควรปลูกผมแบบไหนดีดังนี้
1. ไลฟ์สไตล์และทรงผมที่ต้องการ
- เลือก FUE ถ้า : คุณชื่นชอบการไว้ผมสั้นมาก ๆ เช่น ทรง Skin Fade, Undercut หรือทรงผมที่ต้องไถเกรียนติดหนังศีรษะ เพราะแผลเป็นแบบจุดเล็ก ๆ จะแทบมองไม่เห็น ทำให้คุณจัดแต่งทรงผมได้อย่างอิสระและมั่นใจ
- เลือก FUT ถ้า : คุณนิยมไว้ผมยาว (เกิน 1.5 เซนติเมตรขึ้นไป) อยู่เสมอ ซึ่งสามารถปกปิดรอยแผลเป็นแนวยาวได้อย่างแนบเนียน และไม่ได้กังวลเรื่องการมีรอยแผลจากการผ่าตัด
2. ระดับปัญหาและจำนวนกราฟที่ต้องใช้
- เลือก FUE ถ้า : คุณมีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านในพื้นที่ไม่ใหญ่มาก, ต้องการปรับแก้แนวผมด้านหน้า หรือต้องการปลูกในจำนวนกราฟที่ไม่สูงจนเกินไป
- เลือก FUT ถ้า : คุณมีปัญหาศีรษะล้านเป็นบริเวณกว้างและต้องการปลูกผมในปริมาณมาก (Mega Session) เพื่อสร้างความหนาแน่นให้กลับมาใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุดในครั้งเดียว
3. ความกังวลเรื่องแผลเป็นและระยะเวลาพักฟื้น
- เลือก FUE ถ้า : ต้องการพักฟื้นอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องการให้มีรอยแผลเป็นในแนวยาว รวมถึงไม่สะดวกที่จะต้องกลับมาตัดไหม
- เลือก FUT ถ้า : คุณสามารถลางานหรือมีเวลาพักฟื้นได้นานกว่า ยอมรับการมีแผลเย็บและอาการตึงบริเวณท้ายทอยในช่วงแรกได้ เพื่อแลกกับผลลัพธ์ด้านจำนวนกราฟที่สูงกว่า
ตัดสินใจเลือกเทคนิคปลูกผมที่ใช่กับแพทย์ชำนาญการที่ Grow & Glow Clinic โดยไม่ว่าจะเป็นเทคนิค ปลูกผมถาวร FUE หรือปลูกผมถาวร FUT คุณจะได้รับการประเมินอย่างตรงจุด พร้อมแผนการรักษาที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยแพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ หรือหมอเบนซ์ แพทย์ชำนาญการด้านการปลูกผม วุฒิบัตร ISHRS และ American Board (ABHRS) พูดคุยกับหมอเบนซ์และปรึกษาฟรีได้เลยวันนี้ โทร. 084-501-9989 หรือ LINE: @clinicgrowandglow