
ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมีกี่แบบ ต้องรักษายังไง ?
ผมร่วง เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเส้นผมร่วงหลุดเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน หนึ่งในสาเหตุหลักของอาการผมร่วงที่พบบ่อยคือ ภาวะผมร่วงที่เกิดจากฮอร์โมน หรือที่เรียกว่า “ผมร่วงแบบพันธุกรรม” (Androgenetic Alopecia) ซึ่งพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจกับภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถรับมือและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ฮอร์โมนมีผลต่อเส้นผมอย่างไร ?
เส้นผมของมนุษย์มีวงจรชีวิตที่แบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ซึ่งแต่ละระยะได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย ระยะเจริญเติบโต (Anagen) ระยะเปลี่ยนผ่าน (Catagen) และระยะพัก (Telogen) การเข้าใจวงจรเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ถึงกลไกของการเกิดผมร่วงเพราะฮอร์โมนได้ดียิ่งขึ้น
ในระยะ Anagen เส้นผมจะมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นระยะที่ยาวนานที่สุด ประมาณ 2-6 ปี โดย 85-90% ของเส้นผมบนศีรษะจะอยู่ในระยะนี้ ต่อมาเส้นผมจะเข้าสู่ระยะ Catagen ซึ่งเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่สั้นมาก (ประมาณ 2-3 สัปดาห์) ที่รากผมจะหยุดการเจริญเติบโตและเริ่มฝ่อลง สุดท้ายผมจะเข้าสู่ระยะ Telogen หรือระยะพัก ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ในช่วงนี้รากผมจะหลุดออกจากรูขุมขน และผมจะร่วงในที่สุด หลังจากนั้นรูขุมขนจะเริ่มสร้างเส้นผมใหม่และวงจรจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ฮอร์โมนบางชนิดมีผลกระทบโดยตรงต่อระยะเวลาในแต่ละเฟสของวงจรชีวิตเส้นผม โดยเฉพาะกลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) รวมถึงเทสโทสเตอโรน (Testosterone) และอนุพันธ์ที่สำคัญคือ DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่เกี่ยวข้องกับภาวะผมร่วงทั้งในเพศชายและเพศหญิง DHT เกิดจากการเปลี่ยนรูปของเทสโทสเตอโรนโดยเอนไซม์ 5-Alpha Reductase และมีความสามารถในการจับกับตัวรับแอนโดรเจน (Androgen Receptors) ที่รูขุมขนได้ดีกว่าเทสโทสเตอโรนถึง 5 เท่า
เมื่อ DHT จับกับตัวรับที่รูขุมขน จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป โดยระยะ Anagen จะสั้นลง ในขณะที่ระยะ Telogen จะยาวนานขึ้น ส่งผลให้เส้นผมมีเวลาเจริญเติบโตน้อยลงและร่วงเร็วขึ้น นอกจากนี้ DHT ยังทำให้รูขุมขนฝ่อลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเส้นผมที่งอกใหม่จะบางลง จนกระทั่งรูขุมขนไม่สามารถสร้างเส้นผมได้อีกต่อไป
สาเหตุของผมร่วงจากฮอร์โมนที่พบบ่อย
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย สามารถก่อให้เกิดภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนได้หลายรูปแบบ โดยสาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
- 1. Androgenetic Alopecia (AGA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศีรษะล้านแบบพันธุกรรม” เป็นสาเหตุของผมร่วงที่พบบ่อยที่สุดทั้งในเพศชาย (Male Pattern Baldness) และเพศหญิง (Female Pattern Hair Loss) เกิดจากการที่รูขุมขนมีความไวต่อฮอร์โมน DHT มากเกินไป มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โดยในเพศชายมักเริ่มจากการถอยร่นของเส้นผมบริเวณขมับและกลางศีรษะ ส่วนในเพศหญิงมักพบว่าผมบางบริเวณกลางศีรษะโดยที่แนวผมด้านหน้ายังคงอยู่
- 2. ฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ภาวะเช่น Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) ซึ่งเกิดจากการมีระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงในเพศหญิง สามารถนำไปสู่ภาวะผมร่วงได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ก็สามารถส่งผลให้เกิดผมร่วงได้เช่นกัน ทั้งในช่วงการตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือวัยหมดประจำเดือน
- 3. ไทรอยด์ผิดปกติ ทั้งภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) และไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (Hypothyroidism) ก็สามารถทำให้เกิดผมร่วงได้ เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ต่าง ๆ รวมถึงเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเส้นผม
- 4. อิทธิพลจากฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีส่วนประกอบของโปรเจสทิน (Progestin) ที่มีฤทธิ์คล้ายแอนโดรเจนสูง สามารถกระตุ้นการทำงานของตัวรับแอนโดรเจนและส่งผลให้เกิดผมร่วงได้ ในทางกลับกัน ยาคุมกำเนิดบางชนิดก็มีส่วนช่วยในการรักษาภาวะผมร่วงในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS ได้
- 5. ฮอร์โมนอินซูลินและภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินมากขึ้น นำไปสู่การกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจนและลดการสร้างโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศ (Sex Hormone Binding Globulin หรือ SHBG) ทำให้มีระดับแอนโดรเจนอิสระในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วงได้
ผมร่วงจากฮอร์โมนแตกต่างจากผมร่วงทั่วไปอย่างไร ?
การแยกภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนออกจากภาวะผมร่วงทั่วไปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา โดยลักษณะเฉพาะที่บ่งชี้ว่าผมร่วงอาจมีสาเหตุจากฮอร์โมนมีดังนี้
ร่วงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมักไม่ใช่อาการชั่วคราว แต่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ หรือแม้กระทั่งเป็นปี โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดลงได้เอง ต่างจากผมร่วงชั่วคราวจากภาวะเครียดหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ที่มักดีขึ้นเมื่อร่างกายฟื้นฟู
มีรูปแบบการร่วงที่ชัดเจน (Pattern Hair Loss)
ลักษณะของผมร่วงเพราะฮอร์โมน โดยเฉพาะจาก Androgenetic Alopecia จะปรากฏเป็น รูปแบบเฉพาะ เช่น
- ผู้ชาย : เริ่มเถิกขึ้นบริเวณหน้าผากเป็นรูปตัว M หรือบางลงที่กระหม่อม
- ผู้หญิง : ผมบางกระจายทั่วหนังศีรษะ โดยเฉพาะกลางศีรษะ แต่เส้นผมรอบ ๆ ด้านข้างและท้ายทอยยังดูหนาแน่นอยู่
ในทางกลับกัน ผมร่วงจากสาเหตุทั่วไป เช่น การเปลี่ยนแชมพู หรือแพ้สารเคมี มักร่วงกระจายทั่วศีรษะโดยไม่มี Pattern ชัดเจน
มีประวัติครอบครัวที่เคยเป็นลักษณะเดียวกัน
ผู้ที่มีภาวะผมร่วงจากฮอร์โมนมักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเดียวกัน โดยเฉพาะในกรณีของ Androgenetic Alopecia ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมอย่างชัดเจน เช่น ผู้ชายที่มีพ่อหรือปู่เป็นศีรษะล้านมักมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาเดียวกัน
มีอาการอื่นร่วมด้วยจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน
อีกหนึ่งจุดสังเกตที่สำคัญคือ ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมักไม่ได้เกิด “เดี่ยว ๆ” แต่จะมาพร้อมกับอาการอื่นที่สะท้อนถึงระบบฮอร์โมนผิดปกติ เช่น
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือขาดประจำเดือน (ในผู้หญิง)
- หน้ามันง่ายขึ้น หรือมีสิวขึ้นบริเวณกราม
- ขนดกผิดปกติบริเวณแขน ขา หรือใบหน้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด หรือซึมเศร้า
แนวทางการรักษาที่ตรงจุด
การรักษาผมร่วงเพราะฮอร์โมนที่มีประสิทธิภาพต้องมุ่งเน้นที่การแก้ไขสาเหตุหลักของปัญหา นั่นคือความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้
การใช้ยารักษาที่ได้รับการรับรอง
ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ให้ใช้ในการรักษาผมร่วงจากฮอร์โมน ได้แก่ Minoxidil ซึ่งใช้ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังรูขุมขนและยืดระยะ Anagen ของวงจรเส้นผมให้ยาวนานขึ้น และยา Finasteride ซึ่งใช้ในเพศชายเท่านั้น โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha Reductase ทำให้ลดการเปลี่ยน Testosterone เป็น DHT
การปรับสมดุลฮอร์โมน
ในกรณีที่ผมร่วงเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ไทรอยด์ หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้เกิดผมร่วง การรักษาก็ต้องมุ่งเน้นที่การแก้ไขความผิดปกตินั้น ๆ เช่น การให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนในกรณีไทรอยด์ทำงานน้อย หรือการใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงที่มีภาวะเอสโตรเจนลดลงอย่างมากในช่วงวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

PRP (Platelet-Rich Plasma)
เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาปั่นแยกเอาพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วยปัจจัยการเจริญเติบโตและไซโตไคน์ (Growth Factors And Cytokines) แล้วฉีดเข้าไปที่หนังศีรษะ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของรูขุมขนและยืดระยะเวลาการเจริญเติบโตของเส้นผม
การปลูกผมถาวร (Hair Transplantation)
ทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนในระยะที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ โดยเทคนิคที่นิยมในปัจจุบันคือ FUE (Follicular Unit Excision) และ FUT (Follicular Unit Transplantation) ซึ่งเป็นการย้ายรูขุมขนจากบริเวณที่ไม่ไวต่อ DHT (เช่น ด้านหลังและด้านข้างของศีรษะ) ไปยังบริเวณที่ผมบางหรือไม่มีผม การปลูกผมให้ผลลัพธ์ที่ถาวรแต่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาผมร่วงเพราะฮอร์โมนและต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยได้ที่ Grow & Glow Clinic คลินิกให้บริการปลูกผมถาวร FUE รวมไปถึงเทคนิคอื่น ๆ แบบครอบคลุม ภายใต้การดูแลของแพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ (หมอเบนซ์) แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการปลูกผมที่ได้รับการรับรองจากสถาบันปลูกผมระดับนานาชาติ และผ่านการทำงานในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จึงมั่นใจได้ถึงมาตรฐานและผลลัพธ์ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน กรอกฟอร์มวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาออนไลน์กับคุณหมอ ฟรี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @clinicgrowandglow หรือโทร. 084-501-9989
ข้อมูลอ้างอิง
- 1. Androgenetic Alopecia . สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จาก https://ishrs.org/androgenetic-alopecia/
- 2. Androgenetic Alopecia . สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramalaser/sites/default/files/public/pdf/elective/CPG%20Androgenetic%20Alopecia.pdf