ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมีกี่แบบ ต้องรักษายังไง ?

แพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ (หมอเบนซ์) - พ.ค. 28, 2025

ผมร่วง เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเส้นผมร่วงหลุดเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน หนึ่งในสาเหตุหลักของอาการผมร่วงที่พบบ่อยคือ ภาวะผมร่วงที่เกิดจากฮอร์โมน หรือที่เรียกว่า “ผมร่วงแบบพันธุกรรม” (Androgenetic Alopecia) ซึ่งพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจกับภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถรับมือและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ผมร่วงเพราะฮอร์โมนทำให้ศีรษะล้านเป็นหย่อม ๆ

ฮอร์โมนมีผลต่อเส้นผมอย่างไร ?

เส้นผมของมนุษย์มีวงจรชีวิตที่แบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ซึ่งแต่ละระยะได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย ระยะเจริญเติบโต (Anagen) ระยะเปลี่ยนผ่าน (Catagen) และระยะพัก (Telogen) การเข้าใจวงจรเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ถึงกลไกของการเกิดผมร่วงเพราะฮอร์โมนได้ดียิ่งขึ้น

ในระยะ Anagen เส้นผมจะมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นระยะที่ยาวนานที่สุด ประมาณ 2-6 ปี โดย 85-90% ของเส้นผมบนศีรษะจะอยู่ในระยะนี้ ต่อมาเส้นผมจะเข้าสู่ระยะ Catagen ซึ่งเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่สั้นมาก (ประมาณ 2-3 สัปดาห์) ที่รากผมจะหยุดการเจริญเติบโตและเริ่มฝ่อลง สุดท้ายผมจะเข้าสู่ระยะ Telogen หรือระยะพัก ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ในช่วงนี้รากผมจะหลุดออกจากรูขุมขน และผมจะร่วงในที่สุด หลังจากนั้นรูขุมขนจะเริ่มสร้างเส้นผมใหม่และวงจรจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ฮอร์โมนบางชนิดมีผลกระทบโดยตรงต่อระยะเวลาในแต่ละเฟสของวงจรชีวิตเส้นผม โดยเฉพาะกลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) รวมถึงเทสโทสเตอโรน (Testosterone) และอนุพันธ์ที่สำคัญคือ DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่เกี่ยวข้องกับภาวะผมร่วงทั้งในเพศชายและเพศหญิง DHT เกิดจากการเปลี่ยนรูปของเทสโทสเตอโรนโดยเอนไซม์ 5-Alpha Reductase และมีความสามารถในการจับกับตัวรับแอนโดรเจน (Androgen Receptors) ที่รูขุมขนได้ดีกว่าเทสโทสเตอโรนถึง 5 เท่า

เมื่อ DHT จับกับตัวรับที่รูขุมขน จะทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป โดยระยะ Anagen จะสั้นลง ในขณะที่ระยะ Telogen จะยาวนานขึ้น ส่งผลให้เส้นผมมีเวลาเจริญเติบโตน้อยลงและร่วงเร็วขึ้น นอกจากนี้ DHT ยังทำให้รูขุมขนฝ่อลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเส้นผมที่งอกใหม่จะบางลง จนกระทั่งรูขุมขนไม่สามารถสร้างเส้นผมได้อีกต่อไป 

สาเหตุของผมร่วงจากฮอร์โมนที่พบบ่อย

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย สามารถก่อให้เกิดภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนได้หลายรูปแบบ โดยสาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้

  1. 1. Androgenetic Alopecia (AGA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศีรษะล้านแบบพันธุกรรม” เป็นสาเหตุของผมร่วงที่พบบ่อยที่สุดทั้งในเพศชาย (Male Pattern Baldness) และเพศหญิง (Female Pattern Hair Loss) เกิดจากการที่รูขุมขนมีความไวต่อฮอร์โมน DHT มากเกินไป มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โดยในเพศชายมักเริ่มจากการถอยร่นของเส้นผมบริเวณขมับและกลางศีรษะ ส่วนในเพศหญิงมักพบว่าผมบางบริเวณกลางศีรษะโดยที่แนวผมด้านหน้ายังคงอยู่
  2. 2. ฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ภาวะเช่น Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) ซึ่งเกิดจากการมีระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงในเพศหญิง สามารถนำไปสู่ภาวะผมร่วงได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ก็สามารถส่งผลให้เกิดผมร่วงได้เช่นกัน ทั้งในช่วงการตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือวัยหมดประจำเดือน 
  3. 3. ไทรอยด์ผิดปกติ ทั้งภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) และไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (Hypothyroidism) ก็สามารถทำให้เกิดผมร่วงได้ เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ต่าง ๆ รวมถึงเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเส้นผม
  4. 4. อิทธิพลจากฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีส่วนประกอบของโปรเจสทิน (Progestin) ที่มีฤทธิ์คล้ายแอนโดรเจนสูง สามารถกระตุ้นการทำงานของตัวรับแอนโดรเจนและส่งผลให้เกิดผมร่วงได้ ในทางกลับกัน ยาคุมกำเนิดบางชนิดก็มีส่วนช่วยในการรักษาภาวะผมร่วงในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS ได้
  5. 5. ฮอร์โมนอินซูลินและภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินมากขึ้น นำไปสู่การกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจนและลดการสร้างโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศ (Sex Hormone Binding Globulin หรือ SHBG) ทำให้มีระดับแอนโดรเจนอิสระในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วงได้

ผมร่วงจากฮอร์โมนแตกต่างจากผมร่วงทั่วไปอย่างไร ?

การแยกภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนออกจากภาวะผมร่วงทั่วไปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา โดยลักษณะเฉพาะที่บ่งชี้ว่าผมร่วงอาจมีสาเหตุจากฮอร์โมนมีดังนี้

ร่วงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมักไม่ใช่อาการชั่วคราว แต่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ หรือแม้กระทั่งเป็นปี โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดลงได้เอง ต่างจากผมร่วงชั่วคราวจากภาวะเครียดหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ที่มักดีขึ้นเมื่อร่างกายฟื้นฟู

มีรูปแบบการร่วงที่ชัดเจน (Pattern Hair Loss)

ลักษณะของผมร่วงเพราะฮอร์โมน โดยเฉพาะจาก Androgenetic Alopecia จะปรากฏเป็น รูปแบบเฉพาะ เช่น

ในทางกลับกัน ผมร่วงจากสาเหตุทั่วไป เช่น การเปลี่ยนแชมพู หรือแพ้สารเคมี มักร่วงกระจายทั่วศีรษะโดยไม่มี Pattern ชัดเจน

มีประวัติครอบครัวที่เคยเป็นลักษณะเดียวกัน

ผู้ที่มีภาวะผมร่วงจากฮอร์โมนมักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเดียวกัน โดยเฉพาะในกรณีของ Androgenetic Alopecia ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมอย่างชัดเจน เช่น ผู้ชายที่มีพ่อหรือปู่เป็นศีรษะล้านมักมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาเดียวกัน

มีอาการอื่นร่วมด้วยจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน

อีกหนึ่งจุดสังเกตที่สำคัญคือ ผมร่วงเพราะฮอร์โมนมักไม่ได้เกิด “เดี่ยว ๆ” แต่จะมาพร้อมกับอาการอื่นที่สะท้อนถึงระบบฮอร์โมนผิดปกติ เช่น

แนวทางการรักษาที่ตรงจุด

การรักษาผมร่วงเพราะฮอร์โมนที่มีประสิทธิภาพต้องมุ่งเน้นที่การแก้ไขสาเหตุหลักของปัญหา นั่นคือความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้

การใช้ยารักษาที่ได้รับการรับรอง

ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ให้ใช้ในการรักษาผมร่วงจากฮอร์โมน ได้แก่ Minoxidil ซึ่งใช้ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังรูขุมขนและยืดระยะ Anagen ของวงจรเส้นผมให้ยาวนานขึ้น และยา Finasteride ซึ่งใช้ในเพศชายเท่านั้น โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-Alpha Reductase ทำให้ลดการเปลี่ยน Testosterone เป็น DHT

การปรับสมดุลฮอร์โมน

ในกรณีที่ผมร่วงเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ไทรอยด์ หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้เกิดผมร่วง การรักษาก็ต้องมุ่งเน้นที่การแก้ไขความผิดปกตินั้น ๆ เช่น การให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนในกรณีไทรอยด์ทำงานน้อย หรือการใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงที่มีภาวะเอสโตรเจนลดลงอย่างมากในช่วงวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

กระบวนการ PRP (Platelet-Rich Plasma) เพื่อรักษาภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมน

PRP (Platelet-Rich Plasma)

เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาปั่นแยกเอาพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วยปัจจัยการเจริญเติบโตและไซโตไคน์ (Growth Factors And Cytokines) แล้วฉีดเข้าไปที่หนังศีรษะ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของรูขุมขนและยืดระยะเวลาการเจริญเติบโตของเส้นผม 

การปลูกผมถาวร (Hair Transplantation)

ทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะผมร่วงเพราะฮอร์โมนในระยะที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ โดยเทคนิคที่นิยมในปัจจุบันคือ FUE (Follicular Unit Excision) และ FUT (Follicular Unit Transplantation) ซึ่งเป็นการย้ายรูขุมขนจากบริเวณที่ไม่ไวต่อ DHT (เช่น ด้านหลังและด้านข้างของศีรษะ) ไปยังบริเวณที่ผมบางหรือไม่มีผม การปลูกผมให้ผลลัพธ์ที่ถาวรแต่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาผมร่วงเพราะฮอร์โมนและต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยได้ที่ Grow & Glow Clinic คลินิกให้บริการปลูกผมถาวร FUE รวมไปถึงเทคนิคอื่น ๆ แบบครอบคลุม ภายใต้การดูแลของแพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ (หมอเบนซ์) แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการปลูกผมที่ได้รับการรับรองจากสถาบันปลูกผมระดับนานาชาติ และผ่านการทำงานในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จึงมั่นใจได้ถึงมาตรฐานและผลลัพธ์ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน กรอกฟอร์มวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาออนไลน์กับคุณหมอ ฟรี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @clinicgrowandglow หรือโทร. 084-501-9989

ข้อมูลอ้างอิง

  1. 1. Androgenetic Alopecia . สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จาก https://ishrs.org/androgenetic-alopecia/
  2. 2. Androgenetic Alopecia . สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramalaser/sites/default/files/public/pdf/elective/CPG%20Androgenetic%20Alopecia.pdf

แพทย์หญิงภัทรา ภิญโญภาวศุทธิ (หมอเบนซ์)

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมและศัลยกรรมเส้นผมที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ปริญญาโทด้านตจวิทยา (ผิวหนัง) จาก King's College London ได้รับการรับรองจาก American Board of Hair Restoration Surgery และเป็นสมาชิก ISHRS หมอเบนซ์มีประสบการณ์การทำงานที่ DHT Clinic และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และปัจจุบันให้บริการที่คลินิกปลูกผม Grow & Glow โดยมุ่งเน้นการรักษามาตรฐานระดับสากล


ปรึกษาออนไลน์ฟรีกับคุณหมอ