รู้จักกับแผลคีลอยด์ (Keloid)
ป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดแผลว่ายากแล้ว ป้องกันแผลไม่ให้กลายเป็น แผลคีลอยด์ ยากยิ่งกว่า และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่มองทีไรก็ทำเอาความมั่นใจลดลงไปทุกที ในบทความนี้ Grow & Glow Clinic จึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับแผลคีลอยด์มาฝาก พร้อมแนะนำการรักษาเพื่อบอกลาแผลคีลอยด์อย่างถูกวิธี
คีลอยด์ (Keloid) คืออะไร?
คีลอยด์ (Keloide) คือรอยแผลเป็นชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนนูน สามารถขยายใหญ่ขึ้นได้เรื่อย ๆ จนเกินขอบเขตของบาดแผลเดิม ในช่วงแรกคีลอยด์จะมีสีเดียวกับผิวหนัง อาจทำให้เกิดอาการเจ็บและคัน อย่างไรก็ตาม เมื่อระยะเวลาผ่านไป สีผิวบนก้อนคีลอยด์อาจมีสีคล้ำลงได้ โดยคีลอยด์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่มักพบที่บริเวณใบหู
สาเหตุของการเกิดคีลอยด์
คีลอยด์เกิดจากการซ่อมแซมบาดแผลในร่างกายที่มากผิดปกติ สามารถเกิดได้กับทุกบาดแผล เช่น บาดแผลบริเวณใบหูจากการประสบอุบัติเหตุ หรือหลังจากเจาะหู โดยการเจาะหูบริเวณใบหูจะมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่าส่วนอื่น ๆ เพราะต้องเจาะผ่านกระดูกอ่อนใบหู บาดแผลจากการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดคลอดบุตร คีลอยด์ที่เกิดหลังการเป็นสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก หรือหลัง และคีลอยด์ที่เกิดหลังการสัก เป็นต้น
เป็นแผลคีลอยด์ อันตรายไหม?
แผลคีลอยด์ไม่อันตราย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ร้ายหรือเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด แต่อาจสร้างความรำคาญใจ และส่งผลต่อความมั่นใจ เพราะเมื่อก้อนแผลมีขนาดใหญ่ขึ้น จะส่งผลให้ผิวพรรณของเราดูไม่สวยงาม ทำให้ขาดความมั่นใจในการเผยผิวบริเวณดังกล่าว
ลักษณะของแผลคีลอยด์เป็นอย่างไร?
แผลคีลอยด์มีลักษณะเป็นก้อนนูน แดง ขึ้นจากผิวหนัง อาจรู้สึกระคายเคือง เจ็บเล็กน้อย และรู้สึกผิวตึงรั้งร่วมด้วย ซึ่งแผลคีลอยด์สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยตำแหน่งที่เกิดบ่อยที่สุด คือบริเวณติ่งหู หัวไหล่ แก้ม หรือหน้าอก
แผลคีลอยด์มักเกิดกับใคร?
- มักเกิดกับคนผิวสีมากกว่าคนผิวขาว
- ผู้ที่มีประวัติแผลคีลอยด์ หรือคนในครอบครัวมีประวัติแผลคีลอยด์ จะมีแนวโน้มการเกิดแผลคีลอยด์ได้ง่ายในอนาคต
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลคีลอยด์
วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล เนื่องจากการเกิดแผลเป็นสาเหตุหลักของการเกิดแผลคีลอยด์ และเมื่อเกิดแผลแล้ว ควรดูแลตัวเองดังนี้
- หลีกเลี่ยงการลูบ จับ เกาบริเวณที่เกิดแผล
- ไม่แกะสะเก็ดแผลออกก่อน
- หากแผลมีการอักเสบมาก มีน้ำเหลืองไหลซึม แนะนำให้ทายาเพื่อป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ
- ระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ หรือสัมผัสสิ่งสกปรก
- เมื่อแผลแห้งควรใช้ยาทารักษารอยแผลเป็นที่มีส่วนประกอบของ Silicone gel เพราะจะทำให้แผลมีความชุ่มชื้น
คีลอยด์จำเป็นต้องรักษาไหม?
คีลอยด์เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่ง ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง จึงไม่จำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตาม คีลอยด์อาจส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจได้ ซึ่งผู้ที่ต้องการรักษาคีลอยด์สามารถเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเองได้
การรักษาแผลคีลอยด์
การรักษาคีลอยด์ แบ่งเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ การรักษาด้วยการผ่าตัด และการรักษาที่ไม่ใช่การผ่าตัด
1. การรักษาแผลคีลอยด์ด้วยการผ่าตัด
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดจะเหมาะกับคีลอยด์บางตำแหน่ง โดยส่วนใหญ่แล้ว มักใช้ผ่าตัดคีลอยด์บริเวณใบหูที่มีขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดคีลอยด์ ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องรักษาเสริมอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคีลอยด์ขึ้นมาใหม่ หรือรักษาคีลอยด์ที่เหลืออยู่จากการผ่าตัด
2. การรักษาแผลคีลอยด์ที่ไม่ใช่การผ่าตัด
การรักษาคีลอยด์ที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น การฉีดสเตียรอยด์ การฉายแสงปริมาณต่ำ การใช้เครื่องเลเซอร์ เช่น CO2 Laser, Argon, Nd-Yag, PDL, Picosecond laser การรักษาด้วยความเย็น และการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive agent) เช่น 5-FU, Mitomycin C เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีคีลอยด์บริเวณใบหูที่มีขนาดเล็ก หรือคีลอยด์ในตำแหน่งอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก หน้าท้อง หลัง แขนและขา โดยเป็นการรักษาเสริมต่อเนื่องหลังการผ่าตัด โดยจะต้องทำติดต่อกันประมาณ 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผู้ทำการรักษา
บอกลาแผลคีลอยด์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Grow & Glow Clinic
Grow & Glow Clinic เชี่ยวชาญการรักษาคีลอยด์บริเวณใบหูเป็นหลัก โดยจะใช้วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด ควบคู่กับการฉีดสเตียรอยด์ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งแพทย์จะนัดผู้เข้ารับการรักษาผ่าตัดคีลอยด์มาตัดไหมในอีก 10 วันหลังผ่าตัด ในกรณีที่กลับมาเป็นซ้ำ จะนัดรักษาเสริมและติดตามผลอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 เดือน อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว ระยะเวลาในการฉีดสเตียรอยด์จะขึ้นอยู่กับขนาดของคีลอยด์ โดยแพทย์จะนัดฉีดเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3-5 เดือน ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการรักษาคีลอยด์จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อทำการประเมินก่อน
รีวิวการรักษาแผลคีลอยด์ที่ Grow & Glow Clinic
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผลคีลอยด์
1. คีลอยด์ หายเองได้ไหม?
ไม่สามารถหายเองได้ แต่กรณีแผลเพิ่งเริ่มนูนเล็กน้อย สามารถดูแลแผลโดยใช้ Silicone gel แบบแผ่นปิดทับแผล เพื่อไม่ให้แผลขยายยืดตัวได้
2. รักษาคีลอยด์ กี่บาท?
การรักษาคีลอยด์ที่ Grow & Glow Clinic ราคาเริ่มต้น 2,000 บาท
3. ฉีดคีลอยด์กี่วันถึงจะเห็นผล?
หากตอบสนองต่อการรักษาดี สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด อย่างไรก็ตามการฉีดคีลอยด์เป็นวิธีที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยระยะเวลาในการฉีดขึ้นอยู่กับขนาดของคีลอยด์ แพทย์จะนัดฉีดเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3-5 เดือน จะทำให้แผลยุบตัวลง
4. เลเซอร์คีลอยด์กี่ครั้ง?
อย่างน้อย 3 ครั้ง จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน