DHI คืออะไร แตกต่างจาก FUE หรือไม่
DHI คืออะไร? ปลูกผม DHI กับ FUE ต่างกันยังไง? เป็นคำถามยอดฮิตของเหล่าผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีวิธีการรักษาออกมากมายเพื่อรักษาตามอาการ และหนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ “การปลูกผมแบบถาวร” อย่างไรก็ตามเทคนิคการปลูกผมที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานขององค์กรปลูกผมนานาชาติหรือ ISHRS คือ ปลูกผมแบบ FUE และ แบบ FUT เท่านั้น แต่สำหรับคลินิกปลูกผมบางแห่งก็นำเทคนิคอีกวิธีมาใช้นั่นก็คือ “การปลูกผมแบบ DHI” แล้วการปลูกผมแบบ DHI คืออะไร ? แตกต่างจากทั้ง 2 เทคนิคเดิมอย่างไรบ้าง? หาคำตอบได้ในบทความนี้
ปลูกผมแบบ DHI ต่างจากวิธี FUE หรือไม่?
การปลูกผมแบบ DHI ใช้เทคนิคการย้ายรากผมเหมือนกับเทคนิค FUE ทุกประการ โดยเป็นการนำกราฟผมออกมาด้วยเครื่องเจาะรากผม แล้วนำมาปลูกลงไปในตำแหน่งใหม่ด้วยปากกาปลูกผม (Implanter) ดังนั้นเรื่องผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่แตกต่างกัน เช่น เรื่องแผลเป็นบริเวณท้ายทอยมีขนาดเล็กมาก ๆ แผลหายไวรวดเร็วภายใน 1 สัปดาห์เท่านั้น และการปลูกผมด้วยวิธีนี้เหมาะกับเคสที่ไม่ต้องใช้เส้นผมจำนวนมาก เพราะการเจาะผมจากด้านหลังที่มากเกินไปก็อาจทำให้ความหนาแน่นของเส้นผมบริเวณนั้นบางลงไปด้วยเช่นกัน
การปลูกผมแบบ DHI คืออะไร?
การปลูกผมแบบ DHI เป็นเทคนิคปลูกผมที่ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970 ที่คลินิกแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดย DHI เป็นชื่อทางการตลาดชื่อหนึ่งของเทคนิคการใช้ปากกาปลูกผม (Implanter) จะเห็นได้ว่า หลายคลินิกมีการใช้คำว่า DHI เป็นชื่อเรียกการปลูกผมอย่างแพร่หลาย ซึ่งแท้จริงแล้วการปลูกผมแบบ DHI เป็นเทคนิคเดียวกับเทคนิคการปลูกผมแบบ FUE โดยนำเซลล์รากผมย้ายไปปลูกบริเวณที่เส้นผมหยุดการเติบโตแบบกอต่อกอ โดยใช้หัวเจาะพิเศษนำเอากอผมจากบริเวณด้านหลัง หรือท้ายทอยออกมาใช้ แล้วนำมาปลูกต่อด้วยการใช้ Implanter
ข้อดีและข้อจำกัดของการปลูกผมแบบ DHI?
ข้อดีของการปลูกผมแบบ DHI
- สามารถทำได้รวดเร็ว
- แผลเป็นบริเวณท้ายทอยเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น
- ได้ผลลัพธ์ผมที่ดูเป็นธรรมชาติและแน่นหนา
- ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
- หมดกังวลเรื่องแผลเป็นบนศีรษะ
ข้อจำกัดของการปลูกผมแบบ DHI
การปลูกผมแบบ DHI เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านเล็กน้อยถึงปานกลาง หากมีผมบางมาก ๆ ศีรษะล้านบริเวณกว้าง หรือไม่มีเส้นผมเลย อาจต้องใช้วิธีรักษาอื่นร่วมด้วย เช่น การปลูกผมแบบ FUT เป็นต้น
ข้อปฏิบัติหลังการปลูกผมแบบ DHI
ข้อปฏิบัติหลังการปลูกผมต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงหลังการปลูกผม 7 วัน โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ โดยหลีกเลี่ยงการถู ขยี้ บริเวณที่มีแผล ให้แตะสัมผัสเบา ๆ แทน
- ใส่ผ้ารัดศีรษะไว้จนครบกำหนด
- นอนหงาย หนุนหัวสูง เพื่อป้องกันการนอนทับบริเวณที่ปลูกผม
- งดการนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ
- งดเช็ด ถู แกะ เกา บริเวณที่ปลูกผม
- ห้ามดื่มเครื่องดื่นแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้ โดยต้องไม่ทำให้เกิดเหงื่อ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกผมแบบ DHI
1. DHI ย่อมาจากอะไร?
DHI ย่อมาจากคำว่า Direct Hair Implantation
2. สรุปแล้ว DHI กับ FUE ต่างกันไหม?
การปลูกผมแบบ DHI เป็นเทคนิคเดียวกับเทคนิคการปลูกผมแบบ FUE โดยนำเซลล์รากผมย้ายไปปลูกบริเวณที่เส้นผมหยุดการเติบโตแบบกอต่อกอ โดยใช้หัวเจาะพิเศษนำเอากอผมจากบริเวณด้านหลัง หรือท้ายทอยออกมาใช้ แล้วนำมาปลูกต่อด้วยการใช้ Implanter
3. การปลูกผมแบบ DHI กับ FUE เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ผู้ที่ชอบไว้ผมรองทรงสั้นหรือสกินเฮด เพราะเห็นรอยแผลเป็นไม่ชัด
- ผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย เพราะแผลจะหายเร็วกว่า
- ผู้ที่กลัวเจ็บ กลัวการผ่าตัด หรือมีความกังวลใจสูง
4. การปลูกผมแบบไหนดีที่สุด?
การปลูกผมแบบที่ดีที่สุด คือการปลูกผมที่เหมาะสมกับความรุนแรงของอาการผมร่วง หากคุณมีผมร่วงเล็กน้อยถึงระดับปานกลาง การปลูกผมแบบ FUE จะเป็นวิธีที่ตอบโจทย์ที่สุด อย่างไรก็ตามหากคุณผมร่วงรุนแรง จำเป็นต้องใช้กราฟผมจำนวนมาก แนะนำให้ปลูกผมด้วยเทคนิค FUT
สรุปเกี่ยวกับการปลูกผมแบบ DHI
สรุปแล้ว DHI คืออะไร? อธิบายแบบง่าย ๆ คือ เทคนิคการปลูกผมถาวรด้วยการเจาะกอผมจากท้ายทอยที่มีความหนาแน่นมากกว่ามาใช้ปลูกส่วนด้านหน้าด้วยวิธีปลูกแบบ Implanter ซึ่งเทคนิคนี้ไม่มีความแตกต่างจากเทคนิค FUE อาจกล่าวได้ว่าทั้ง FUE และ DHI คือเทคนิคการย้ายรากผมแบบเดียวกัน ได้ผลลัพธ์และผลข้างเคียงแบบเดียวกัน หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปลูกผม หรือต้องการปรึกษากับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดต่อกับ Grow & Glow Clinic คลินิกปลูกผม ได้ทันที พร้อมให้คำแนะนำได้ทุกวันและทุกเวลา